วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบแฮร์บาร์ต (Herbart Method)


ประเภทของสารอาหาร

สารอาหารครบ ๕ หมู่
สารอาหารที่ให้พลังงาน
       ในแต่ละวันคนเราต้องทำกิจกรรมต่างๆ มากมายเริ่มตั้งแต่ตื่นนอน เราต้องอาบน้ำแปรงฟันหรือทำความสะอาดร่างกาย แต่งตัว เดินทางไปโรงเรียน ไปทำงาน เล่นกีฬา กิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ดังนั้น การทำงานเหล่านี้ต้องการพลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นพลังงานที่น้อยที่สุดที่จำเป็นต่อร่างกาย พลังงานที่ร่างกายต้องการได้มาจากสารอาหาร ๓ ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

๑. โปรตีน
          โปรตีนจัดเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน โปรตีน ๑ กรัมให้พลังงาน ๔ กิโลแคลอรี โปรตีนเป็นส่วน ประกอบหลักของเนื้อเยื่อของร่างกาย , เอนไซม์ , ฮอร์โมน และยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเลือด และระบบภูมิคุ้มกันโปรตีนประกอบขึ้นจากกรดอะมิโนหลายๆชนิดแบ่งเป็น
๑.๑ กรดอะมิโนที่จำเป็น ( Essential amino acid ) คือกรดอะมิโนที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพิ่มเติมจากอาหาร 
๑.๒ กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น ( Non-Essential amino acid ) คือกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้



๒. คาร์โบไฮเดรต


        คาร์โบไฮเดรตจัดเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรต ๑ กรัมให้พลังงาน ๔ กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น ๒ กลุ่มตามความสามารถในการละลาย (Solubility)
คาร์โบไฮเดรตที่ละลายได้ ( Soluble Carbohydrate) 
 คาร์โบไฮเดรตที่ลำไส้สามารถดูดซึมได้และควรเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ของอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตเนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งพลังงานของเม็ดเลือดแดงและสมองดังนั้นร่างกายจึงจำเป็น ต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตในระดับที่เหมาะสม
คาร์โบไฮเดรตที่ละลายไม่ได้ (Insoluble Carbohydrate) 
     ไฟเบอร์ในอาหาร ได้แก่ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส ลิกนิน เป็นต้น ไฟเบอร์ ทำหน้าที่ ควบคุมการทำงานของลำไส้ เช่นกรณีที่สิ่งมีชีวิตท้องเสีย ( การเคลื่อนไหวของลำไส้ มากกว่าปกติ ) ไฟเบอร์ จะช่วยลดการเคลื่อนไหว ของลำไส้ ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ กรณีที่สิ่งมีชีวิตท้องผูก ( การเคลื่อนไหว ของลำไส้ น้อยกว่า ปกติ ) ไฟเบอร์จะช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้สิ่งมีชีวิตขับถ่าย ได้ดีขึ้น นอกจาก ประโยชน์ ในการ ควบคุม การทำงานของ ลำไส้แล้ว ไฟเบอร์ยังเป็น ส่วนประกอบที่จำเป็นในอาหารของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก โดยไฟเบอร์จะช่วยทำให้สิ่งมีชีวิต เกิดความรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

๓. ไขมัน

  
          ไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตประมาณ ๒.๕ เท่า นอกจากเป็น แหล่งพลังงานแล้ว ไขมัน มีความจำเป็น ในการ ดูดซึม , การเก็บและการขนส่งวิตามิน ที่ละลายในไขมัน (วิตามิน เอ , ดี , อี และ เค)
ไขมันจะช่วยเพิ่มความน่ากินของอาหาร ถึงแม้ว่า ไขมันในอาหาร จะเป็นแหล่งพลังงานที่ดีแต่ การที่สัตว์ กินอาหารที่มีปริมาณ ไขมันที่สูงเกินความต้องการ ก็จะทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยง ในการเป็นโรค หัวใจโรคตับ และโรคเบาหวาน ตามมา และ ในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่อ้วน ก็มักจะ เกิดความผิดปกติ ของโครงสร้างกระดูก เนื่องจากความไม่สัมพันธ์กันระหว่าง น้ำหนักตัวกับโครงสร้างกระดูก

แหล่งที่มา : http://www.kr.ac.th/tech/det48m2/f002.html

สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน
        นอกจากสารอาหารประเภทโปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมันแล้ว  ยังมีสารอาหารประเภทอื่น ๆ อีกที่นักเรียนกินเป็นประจำ  ได้แก่  วิตามิน  และแร่ธาตุ  สารอาหารเหล่านี้เป็นที่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย  แต่ร่างกายก็ขาดไม่ได้  วิตามินและแร่ธาตุมีคุณค่าและความจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด  นักเรียนจะได้ศึกษารายระเอียดต่อไป

๑.วิตามิน 
     สารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อชีวิตและสุขภาพ วิตามินแม้จะไม่ใช่สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายและร่างกายต้องการในปริมาณน้อย  แต่ร่างกายจะขาดไม่ได้ถ้าขาดจะทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายผิดปกติ  ตัวอย่าง  เช่น  การที่บีหนึ่งและสารอื่น ๆ อีกหลายอย่าง  ถ้าร่างกายขาดวิตามินบีหนึ่ง  การเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงานจะไม่สมบูรณ์  ทำให้เกิดโรคหรืออาการต่าง ๆ ได้  เช่น  อ่อนเพลีย เป็นโรคเหน็บชาเป็นต้น
           จากการทดสอบสมบัติในการละลาย   วิตามินสามารถละลายได้ในตัวทำละลายต่างกัน  ดังนั้นเราจึงแบ่งวิตามินออกเป็น  ๒  ประเภทใหญ่ ๆ  คือ
                วิตามินที่ละลายได้ในไขมัน  ได้แก่  วิตามินเอ  วิตามินดี  วิตามินอี  และวิตามินเค
                     วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ      ได้แก่   วิตามินบี  และ  วิตามินซี
        วิตามินทั้ง ๒ ประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปในอาหารชนิดต่างๆ ในปริมาณต่าง ๆ กันแหล่งอาหารที่ให้วิตามิน  ประโยชน์  รวมทั้งโรคหรืออาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดวิตามินแต่ละชนิด  นักเรียนสามารถศึกษาได้จากรูปและตารางต่อไปนี้

วิตามิน
แหล่งอาหาร
หน้าที่ ประโยชน์
โรค/อาการเมื่อขาดวิตามิน
ละลายได้ในไขมัน
               A

ตับ น้ำมันตับปลา ไข่แดง เนย นม ผักสีเหลืองหรือผักสีเขียวเข้ม และผลไม้บางชนิด

๑.ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก
๒.ช่วยบำรุงสายตา
๓.รักษาสุขภาพของผิวหนัง

๑.เด็กไม่เจริญเติบโต
๒.มองไม่เห็นในที่สลัว
๓.นัยน์ตาแห้งหรือตาอักเสบ
๔.มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อตาขาวและตาดำ
๕.ผิวหนังแห้งและหยาบ
D
เนย นม ไข่แดง ตับ ปลา ที่มีไขมันมาก เช่น ปลาทูนา ปลาซาดีน เป็นต้น
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำใส้เล็กเพื่อใช้สร้างกระดูกและฝัน
๑.เป็นโรคกระดูกอ่อนและผุในเด็ก
๒.เกิดรอยแตกในกระดูกและกระดูกผิดรูปร่างในผู้ใหญ่
                E
ผักใบสีเขียวและไขมันจากพืชเช่น น้ำมัน ข้าวโพด ถั่ว -ลิสงมะพร้าวเป็นต้น
๑.ทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
๒.ช่วยป้องกันการเป็นหมันหรือแท้งบุตร
๑.เกิดโรคโลหิตจางในเด็กชายอายุ ๖ เดือน ถึง ๒ ขวบ
๒.เป็นหมัน อาจทำให้แท้งได้
                K
ผักใบสีเขียวและเนื้อสัตย์
ช่วยให้เลือดเป็นลิ่มหรือแข็งตัวเร็ว
๑.เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ
๒.ในเด็กแรกเกิดถึง ๒ เดือนจะมีอาการเลือดออกทั่วไปตามผิวหนัง


วิตามิน
แหล่งอาหาร
หน้าที่ ประโยชน์
โรค/อาการเมื่อขาดวิตามิน
ละลายได้ในน้ำ


B1

ข้าวซ้อมมือ เครื่องในสัตย์ ตับ ถั่ว ไข่แดง มันเทศ ยีสต์

๑.ช่วยบำรุงระบบประสาทและการทำงานของหัวใจ
๒.ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร การขับถ่าย และระบบกล้ามเนื้อ                                           

๑.อ่อนเพลีย เบื่อาหาร
๒.การเจริญเติบโตหยุดชะงัก
๓.เป็นโรคเหน็บชา
B2
ไข่ นม ถั่ว เนื้อหมู ปลา ผักสีเขียว และผลไม้เปลือกแข็ง
๑.ช่วยในการเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ
๒.ทำให้ผิวหนัง ลิ้น ตา มีสุขภาพดี แข็งแรง
๑.ผิวหนังแห้งและแตก
๒.ลิ้นอักเสบ
๓.โรคปากนกกระจอก
B6
เนื้อ ตับ นม ถั่วลิสง ถั่วเหลือง  เนื้อปลา
๑.ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน
๒.ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท                                
๓.ช่วยบำรุงผิวหนัง
๑.มีอาการบวม
๒.ปวดตามมือตามเท้า
๓.ประสาทเสื่อม
๔.คันตามผิวหนัง 
ผมร่วง
B12

ตับ ไข่ เนื้อปลา นม
๑.ช่วยในการสังเคราะห์ DNA
๒.ช่วยให้การเจริญเติบโตในเด็กเป็นไปอย่างปกติ
๑.เป็นโลหิตจาง
๒.เจ็บลิ้น เจ็บปาก
๓.เส้นประสาทไขสันหลังเสื่อมสภาพ
C
ผลไม้จำพวกส้ม ฝรั่ง มะละกอ ผักสด เข่นคะน้า กะหล่ำปลี มะเขือเทศ
๑.ช่วยรักษาสุขภาพของฟันและเหงือก
๒.ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
๓.ร่างกายแข้งแรง และ มีความต้านทานโรค
๑.เลือดออกตามไรฟัน
๒.เส้นเลือดฝอยเปราะ
๓.แผลหายช้า
๔.ภูมิคุ้มกันลดลง
๕.เป็นหวัดได้ง่าย


๒.เกลือแร่ 
                                                      
        ลักษณะหน้าที่เด่นเฉพาะของสารอาหารนี้คือ ทำหน้าที่เป็นตัวเสริม , ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการทำงานของปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์ มีเกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายดังนี้
แคลเซียม พบมากในนม ผลิตภัณฑ์จากนม สัตว์เล็กๆ ที่กินทั้งตัว เช่น ปลา กุ้ง เป็นต้น นอกจากนี้พบในไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ผักใบเขียวต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คื่นฉ่าย ใบยอ ผักโขม ตำลึง ยอดแค สะเดา เป็นต้น
ฟอสฟอรัส พบมากในแหล่งอาหารเช่นเดียวกับแคลเซียม ที่สำคัญได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น
เหล็ก พบมากใน ตับ หัวใจ เลือด เนื้อวัว ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว เช่น โหระพา ผักโขม ผักคะน้า ผักกระถิน เป็นต้น
ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิดประโยชน์ต่อร่างกาย คือ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมธัยรอยด์ ฮอร์โมนนี้ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ
โซเดียม มีมากในเกลือและอาหารต่างๆ ที่มีส่วนผสมของเกลือ เช่น น้ำปลา ปลาร้า กระปิ ไข่เค็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอยู่ตามธรรมชาติใน นม เนยแข็ง ไข่ เป็นต้น
๓.น้ำ 
     สารอาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เพราะว่า ๔/๕ ส่วนของน้ำหนักตัวก็คือน้ำ มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์หากขาดอาหาร แต่จะอยู่ได้เพียงไม่กี่วันหากขาดน้ำ โดยน้ำทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายหลักสำหรับอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อยในกระเพาะ แต่ยังไม่มีปริมาณที่ให้ดื่มเฉพาะเจาะจงในแต่ละวัน เพราะการสูญเสียน้ำของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วการดื่มน้ำประมาณ ๘ แก้วต่อวันถือว่าดีต่อสุขภาพ
แหล่งที่มา : http://www.hlifespirulina.com/nutrition.htm
ทฤษฎีการสอนแบบแฮร์บาร์ต (Herbart Method) คือ
       วิธีการสอนแบบแฮร์บาร์ต (Herbart Method) ความสนใจนำพาสู่การเรียนรู้
        แฮร์บาร์ต Herbart Method เป็นปรัชญาการศึกษาชาวเยอรมัน และเป็นผู้ริเริ่มการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยเขาเชื่อว่าการที่นักเรียนจะเรียนรู้สิ่งใดๆได้นั้น เบื้องหลังต้องมาจากความสนใจของเขาเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นครูผู้สอนต้องเร้าความสนใจของนักเรียนก่อนที่ขั้นตอนของการสอน 
          ด้วยวิธีการสอนแบบแฮร์บาร์ต ซึ่งวิธีการแบบนี้มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อดึงดูดให้นักเรียนนั้นเกิดการเรียนรู้จากความสนใจ สร้างความสามารถให้พวกเขารู้จักการเชื่อมโยงความรู้เก่าและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน และสอนให้นักเรียนรู้จักจัดลำดับความรู้จากง่ายไปหายาก และจากความจริงทั่วไปไปสู่หลักเกณฑ์หรือข้อสรุป
ข้อดีของวิธีสอนแฮร์บาร์ต
๑.นักเรียนได้เรียนรู้จากความสนใจ
๒.การเรียนรู้ดำเนินไปจากง่ายไปหายากตามลำดับ
๓.การสร้างกฏเกณฑ์หรือข้อสรุปกระทำโดยนักเรียนและครู

ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต
๑.ในขั้นของการสัมพันธ์หรือทบทวนและเปรียบเทียบ ครูต้องให้โอกาสนักเรียนในการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ด้วยตนเองมิใช่เกิดจากการแนะนำของครู
๒.ครูควรเน้นย้ำให้นักเรียนจดบันทึกความรู้ตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก


ขั้นตอนของการวิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต

๑. ขั้นเตรียม เป็นขั้นตอนของการเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ครูจะต้องทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนให้ประสานกับความรู้ใหม่

๒. ขั้นสอน เป็นขั้นตอนที่ครูดำเนินการสอนเพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ตามบทเรียน

๓.  ขั้นสัมพันธ์หรือขั้นทบทวนและเปรียบเทียบ   เป็นขั้นตอนต่อจากการสอนของครูเมื่อครู

สอนจบบทเรียนแล้ว ครูต้องทบทวนความรู้ที่นักเรียนเรียนไปแล้ว และนำความรู้ใหม่ไปสัมพันธ์กับความรู้เดิมด้วยการวิเคราะห์และเปรียบเทียบความแตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่

๔. ขั้นตั้งกฎหรือข้อสรุป เป็นขั้นที่นักเรียนเข้าใจบทเรียนกว้างขึ้น ครูและนักเรียนจะต้องช่วยกันรวบรวมความรู้จากขั้นตอนที่ ๑-๔ ตามลำดับจากง่ายไปหายากอย่างเป็นระบบ และจดบันทึกไว้

๕.ขั้นการนำไปใช้ เป็นขั้นตอนที่นักเรียนนำเอาความรู้ความเข้าใจที่ได้เรียนมาแล้วไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ในสถานการณ์อื่น
แหล่งที่มา : https://blog.eduzones.com/moobo/134814
แหล่งที่มา : http://www.kruchiangrai.net/2013/03/17/
แหล่งที่มา : http://www.neric-club.com/data.php?page=17&menu_id=76

การนำทฤษฎีการสอนแบบแฮร์บาร์ต(Herbart Method) 
มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้เรื่อง...ประเภทของสารอาหาร
๑.ขั้นเตรียม การเชื่อมโยงความรู้เก่าไปสู่ความรู้ใหม่โดยครูจะมีสื่อที่เป็นรูปภาพเกี่ยวกับ"สารอาหารที่ให้พลังงาน"ซึ่งนักเรียนเรียนไปแล้วและรูปภาพเกี่ยวกับ"สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน"ซึ่งจะเรียนในชั่วโมงโดยครูจะสุ่มชื่อนักเรียนจากการจับสลากให้ออกมาตอบคำถามหน้าชั้นเรียนว่ารูปภาพที่ตนเลือกมานั้นเป็นสารอาหารประเภทใด มีประโยชน์อย่างไรโดยนักเรียนสามารถนำความรู้เดิมที่เรียนมาตอบและความรู้เบื้องต้นที่ตนมีมาตอบได้
๒.ขั้นสอน ครูสอนเรื่อง"สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน"เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน
๓.ขั้นสัมพันธ์หรือขั้นทบทวนและเปรียบเทียบ ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น๖กลุ่มๆละ ๓-๕คน(ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนในห้อง)เพื่อทำกิจกรรมโดยครูจะกำหนดหัวข้อจากเรื่อง"สารอาหารที่ให้พลังงาน"(ความรู้เดิม)กับ"สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน"(ความรู้ใหม่)ดังนี้๑.โปรตีน ๒.คาร์โบไฮเดรต ๓.ไขมัน ๔.วิตามิน ๕.เกลือแร่ ๖.น้ำ เพื่อให้แต่ละกลุ่มมาเปรียบเทียบความรู้และความเข้าใจจากนั้นนักเรียนออกมานำเสนองานหน้าห้องเพื่อให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงาน
๔.ขั้นตั้งกฎหรือข้อสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปเนื้อหาที่เรียนจากนั้นครูเปิดวิดีทัศน์เกี่ยวกับ ประเภทของสารอาหาร เพื่อความเข้าใมากยิ่งขึ้น
๕.ขั้นการนำไปใช้ นักเรียนสามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่ครบถ้วนได้  


แหล่งที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=tLaDUkKgb0Y

จัดทำโดย
นางสาว นันทิชา ศรีษะแก้ว รหัสนักศึกษา 5611500314 
ค.บ.วิทยาศาสตร์ทั่วไป กลุ่มเรียน 101

 

         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น